แอดเมียวมีไรจะเม้าค่ะ...
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาที่สมาคมของเรามีการจัดการอบรมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมกัน ในช่วงของหัวข้อเรื่องอาหารการกิน มีผู้ดูแลสอบถามเรื่อง อาหารเสริม สมุนไพร วิตามินต่างๆ อยู่มาก
แอดเมียวเลยนึกถึงเรื่องที่บ้านตัวเองเรื่องนึงค่ะ
คือแอดเมียวมีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งมีความเป็นนักวิชาการมาก (และท่านไม่เล่นFacebookไม่ค่อยอ่านเว็บภาษาไทย แอดเมียวเลยแอบมาเม้าส์มอย) ท่านมักจะค้นข้อมูลยาหรืออาหารเสริมทางเลือกมาให้เราเพื่อช่วยเรื่องอาการของคุณแม่ แต่ทุกๆครั้งที่จะให้คุณแม่ทานอะไรมีการปรึกษากับคุณหมอ ส่งpaper ต่างๆให้อาจารย์ พิจารณาก่อนแล้วแล้วทุกครั้งนะคะ
แต่กระนั้นก็ยังพลาด...
เมื่อตอนมาเริ่มพบคุณหมอท่านปัจจุบันใหม่ๆ 5-6ปีก่อนคุณญาติท่านนำเอกสารงานวิจัยเรื่อง “กินวิตามินE 1000Uวันละเม็ด ช่วยเรื่องความจำ” คุณหมออ่านแล้วก็โอเคให้ลองก็ได้ สมัยนั้นยังมีคนทดลองเยอะเรื่องวิตามินค่ะ
แล้วเวลาก็ผ่านไป คุณแม่ก็กินเจ้าวิตามิน Eนี่มาเรื่อย คุณญาติก็จัดสรรหาจากที่ต่างประเทศส่งมาให้เรื่อยๆ ค่ะ
จนกระทั่งแอดเมียวไปเรียนต่อโทเมื่อ 2ปีก่อน มันก็ต้องมีทำวิทยานิพนธ์จบใช่ป่าวคะ แล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาของ แอดเมียวแนะนำให้ไปดู step การเขียนรายงานวิจัย จะผลงานของอาจารย์เอง เพราะหาโหลดจากอินเตอร์เน็ตได้ง่ายๆ
ปรากฏว่าหัวข้อวิจัยของ อาจารย์ เป็นเรื่อง “วิตามินอีกับการรักษาสมองเสื่อม”... แถมเป็นงานร่วมวิจัยกับอาจารย์แพทย์ที่รามาด้วย ....
เมื่อ แอดเมียวอ่านเท่านั้นล่ะ ..... แม่เจ้า แทบเป็นลมล้มพับ ... จำสรุปไว้ตอนสุดท้ายที่แปลเป็นไทยแล้วว่า..
“ ไม่มีงานวิจัยใดที่ยืนยันว่าผู้ป่วยมีสมรรถภาพทางสมองดีขึ้นหลังได้รับวิตามินE ยิ่งกว่านั้น การได้รับวิตามินEมากเกินไปอาจจะทำให้เส้นเลือดเปราะ เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดเลือดออกในสมองมาขึ้น และเป็นวิตามินต้องห้ามสำหรับผู้ป่วยที่ ทานยาละลายลิ่มเลือดต่างๆ (คือเลือดก็ไม่ค่อยแข็งตัว หลอดเลือดก็เปราะ ถ้าแตกที ก็แย่สิคะ)”
แอดเมียวก็ร้องจ๊าก ถามที่บ้านว่าแม่ยังกินวิตามิน Eอยู่รึเปล่า ส่วนหนึ่งที่คิดได้คือ หลายปีมานี้ จะเห็นว่าแม่ช้ำง่าย เดินชนอะไรนิดนึง ก็เขียวช้ำ บางทีก็มีจ้ำเลือด เกานิดนึงก็เลือดออก แต่เราคิดกันว่า “เอ่อสงสัยแก่ละผิวบาง มันก็จะซ้ำง่ายๆแบบนี้มั้ง” ก็ไม่ได้ปรึกษาคุณหมอค่ะ
ที่บ้านบอกว่า แม่ยังกินอยู่ หมอไม่บอกให้หยุด ..
ก็เลย ปรึกษาคุณหมอ .. แต่เนื่องจากเราไม่ได้จดไว้ในแฟ้มผู้ป่วยค่ะว่ามีการเริ่มกินตัวนี้ ละมันนานละ คุณหมอก็ตกใจว่า ยังทานอยู่หรอนี่ เอาออกๆ..
กลับมาที่คุณญาติ... คุณญาติก็ตกใจ บอกว่า อ่าว ไม่รู้ว่าแม่มีทานยาละลายลิ่มเลือดอยุ่ ไม่งั้นไม่แนะนำ (แหม่ กินมาตั้งหลายปี วันละ1000U อ่ะค่ะ เมืองไทยเราที่ขายๆกันสูงสุดก็400U ) เอ๊า... เลิกๆๆ
หลังจากเลิกทานสิ่งที่พบคือ เรื่องรอยช้ำต่างๆตามผิวหนังหายไปจริงๆค่ะ ...
โห.. ขนาดผิวหนังยังเป็นขนาดนี้ แอดละไม่กล้าคิดถึงสภาพสมองคุณแม่ตอนนี้ นับว่าเป็นการรอดจาก stroke ครั้งที่สองแบบไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ
เห็นป่าวค่ะนี่ขนาดมีงานวิจัยรับรองเรายังพลาดกันได้ เนื่องจากการทดลองเรื่องอาหารเสริมอะไรต่างๆที่มันไม่ใช่ยาเนี่ย ถ้าลองไปอ่านๆกันดู ก็จะสรุปแค่ ได้ผลตามสมมติฐาน .. หรือไม่ได้ แต่ไม่ได้รุ้ว่ามันไปทำงานอย่างไรกับอวัยวะเรา พอเวลาผ่านไปคนศึกษามากขึ้น ดันพบว่า ประโยชน์ที่คนแรกเจอแล้วรีบหยิบมาขายนั้น .. ถ้าศึกษานานอีกนิด..อ้าว...มันมีโทษแอบแฝงอยู่ คล้ายเรื่องการกินอาหารเพื่อสุขภาพน่ะค่ะ 20 ปีที่แล้วกินไข่แดงไม่ดี ต่อมาอีก10 ปี เอ๊า!กลายเป็นกินไข่แดงได้แต่ต้องกินกับไข่ขาว อ่าวตกลงยังไง ไข่แดงเราโยนให้หมากินจนหมาฉลาดมาเป็นสิบปีแล้ว
หลายท่านอาจจะรุ้สึกว่า ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพร เป็นสารสกัดจาก ธรรมชาติ น่าจะปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แอดเมียวอยากฝาก คำพูดคุณพ่อพูดไว้ ท่านใช้เตือนคุณแม่ช่วงตามกระแส สมุนไพร มากๆเมื่อหลายสิบปีก่อนไว้ดังนี้ค่ะ
“..สมุนไพร อะไรจากพืช จากธรรมชาติอ่ะ มันไม่ใช่จะปลอดภัยเสมอนะ .. เห็นในหนังจีนไหม ที่เค้าวางยากันอ่ะก็สมุนไพรทั้งนั้นไม่ใช่รึ..”
ดังนั้น มีข้อมูลมีญาติผู้หวังดีหาอะไรมาให้ผู้ป่วยทาน นอกจากปรึกษากูเกิ้ลแล้ว นำมาปรึกษาคุณหมอด้วยนะคะ เพราะโดยอาชีพคุณหมอ ท่านจะมีข่าวupdate เรื่องเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ และท่านจะทราบว่า สมุนไพร อาหารเสริม นี่แนะนำมามันใช้ได้หรือมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายกับผู้ป่วยของเราหรือไม่ค่ะ