ช่วงปีใหม่ หลายๆ ท่านคงได้ชมภาพยนตร์เรื่อง "พรจากฟ้า" ใช่หรือไม่คะ?
ถูกต้องค่ะ admin กำลังจะกล่าวถึง ตอนที่ 2 "Still on my mind" เรื่องที่เกี่ยวกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ค่ะ นอกจากความซาบซึ้งใจแล้วยังได้ข้อคิดอะไรหลายๆ อย่างในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมนะคะ
เริ่มแรกเลยนะคะ เราตะหงิดๆ ว่าคุณพ่อคุณฟาต้องป่วยตั้งแต่ตอนที่เธอโทรคุยกับคุณแม่ใช่หรือไม่คะ แต่สามพี่น้องเพิ่งทราบว่าคุณพ่อป่วยหนักมากในงานศพคุณแม่และภายหลังก็มาเจอคลิปที่คุณพ่อคุณแม่ ถ่ายไว้เพื่อบอกกับลูกๆ ว่าคุณพ่อเป็นอัลไซเมอร์
สถานการณ์ ผู้ดูแลหลักชิ่งจากไปก่อนผู้ป่วยเป็นเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดที่สุดค่ะ แต่ทีมงานเรากลับพบว่า ผู้ดูแลหลักหลายท่านมีปัญหาทางสุขภาพมากกว่าผู้ป่วยสมองเสื่อมซะอีก เนื่องจากมักจะละเลยสุขภาพตัวเอง เพราะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ผู้ป่วย กลัวว่าถ้าตนไม่อยู่ดูผู้ป่วยจะไม่มีคนดูแลไม่สามารถปลีกตัวไปพบแพทย์ได้
ในหนังได้สื่อสารอาการของผู้ป่วยที่สร้างความเครียดให้กับผู้ดูแลได้ค่อนข้างชัดเจนมากค่ะ ในเรื่องยังชี้ให้เห็นว่าแม้ทางครอบครัวไม่มีปัญหาการเงิน แต่คุณฟาก็อยากออกนอกบ้านอยากมีกิจกรรมอื่นบ้างจึงไปสมัครงาน ซึ่งพี่ชายไม่เข้าใจ และกลัวว่าสังคมจะมองว่าพี่ดูแลน้องไม่ดี แต่ตนก็ไม่ได้รับรู้ถึงความเครียดของการดูแลผู้ป่วยตลอดเวลาเพียงผู้เดียว
ชีวิตของคุณฟาเริ่มดีขึ้นเมื่อคุณเอพระเอกช่างจูนเปียโนของเราโผล่มาค่ะ คุณเอเข้าใจในอาการของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยถามหาภรรยาที่เสียไปแล้ว ก็บอกว่า เธอไปสอนเปียโนแทนที่จะพยายามบอกความจริง แถมยังอาสาช่วยผลัดดูแล เพื่อให้คุณฟามีเวลาหัดเปียโน ซึ่งก็เหมือนเธอได้มีเวลาพักจากการดูแลคุณพ่อไปด้วย สภาพจิตใจเธอก็ดูจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่ละค่ะความสำคัญของการที่ผู้ดูแลต้องมีเวลาพักบ้าง
ประเด็นที่ admin อยากนำเสนอคือ ในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมเราควรเล่นเป็นทีมค่ะ ทีมนี้อาจจะประกอบด้วย สมาชิกครอบครัว พี่เลี้ยงจากศูนย์ เพื่อนของครอบครัว รวมทั้งเพื่อนบ้านก็ได้ค่ะ แต่เราอย่าปล่อยให้ใครสักคนดูแลผู้ป่วยตลอดเวลาเพียงผู้เดียวไม่มีการพัก
นอกจากเรื่องความเครียดจากการดูแลหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สุดคือ หากผู้ดูแลหลักตัดหน้าไปสวรรค์ก่อนผู้ป่วย ครอบครัวที่เหลือจะได้จัดการเรื่องการดูแลผู้ป่วยต่อได้ ดังนั้นสมาชิกในครอบครัวจึงควรรับรู้สถานการณ์และอาการของผู้ป่วยไปพร้อมๆ กัน ถ้าผลัดเวรกันมาดูแลได้(แต่ไม่ย้ายที่อยู่ผู้ป่วยนะคะ ปัญหาเกิดแน่นอน) ได้ด้วยก็จะเยี่ยมค่ะ คือมันดีต่อใจกับทั้งผู้ป่วย แลผู้ดูแลหลักค่ะ อย่าลืมนะคะ เรากำลังนับถอยหลังอยู่เราไม่รู้เมื่อไรเราจะถูกลืมค่ะ เชื่อ admin เถอะค่ะ วันที่ท่านมองหน้าเราแล้วบอกว่า"เธอไม่ใช่ลูกฉัน" ขำไม่ออกจริงๆ ค่ะ
มาถึงสังคมรอบๆ หลายท่านอายและคิดหลายตลบว่าจะบอกคนอื่นๆ ดีไหมว่าคุณแม่เราป่วยบางทีก็อาย บางทีก็กลัวเรื่องความปลอดภัย เราเลือกบอกเพื่อนๆ หรือเพื่อนบ้านที่เราคุ้นเคยก่อนก็ได้ค่ะ บางคนใจดีขนาดมาช่วยผลัดดูให้เลยนะคะ ยิ่งในกรณีที่ผู้ป่วยเดินออกนอกบ้านบ่อยๆ เพื่อนบ้าน พี่ยาม หรือพี่วินหน้าหมู่บ้านนี่ล่ะค่ะคือคนที่จะช่วยเราได้เป็นอย่างดี
บางครั้งผู้ดูแลหลักอาจจะเกรงใจญาติพี่น้องท่านอื่นจึงลุยดูเองคนเดียว อย่าทำแบบนั้นคะ ความแน่นอน คือความไม่แน่นอนค่ะ เกิดพรุ่งนี้เดินอยู่แถวที่ก่อสร้างรถไฟฟ้ามีท่อนเหล็กหล่นมาทับทำไง ผู้ป่วยเราจะอยู่ต่อไปอย่างไรละค่ะ admin เชื่อว่าพี่น้อง เพื่อนรอบตัวเรายินดีช่วยค่ะแต่บางทีเค้านึกไม่ออกว่าจะช่วยอย่างไร ลองคุยกับเค้าดูค่ะ